วัสดุที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรมคือเหล็กลวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Steel Wire) ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ Low Carbon
เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ หรือ Low Carbon Steel Wire เป็นผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผ่านกระบวนการดึงให้มีลักษณะเป็นลวดหรือเส้นเล็ก มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย เหล็กลวดชนิดนี้ผลิตจากเหล็กคาร์บอนต่ำที่มีปริมาณคาร์บอนไม่เกิน 0.30% ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากเหล็กชนิดอื่น ๆ
คุณสมบัติที่โดดเด่นของเหล็กลวดคาร์บอนต่ำคือความสามารถในการดัดงอได้ดี มีความเหนียว และไม่เปราะแตกง่าย ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นและการขึ้นรูป เช่น การผลิตลวดผูกเหล็ก ตะแกรงเหล็ก รั้วลวด และอุปกรณ์ยึดโยงต่าง ๆ นอกจากนี้ เหล็กลวดคาร์บอนต่ำยังมีสมบัติในการเชื่อมต่อที่ดี ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานเชื่อมและงานประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้านการใช้งาน เหล็กลวดคาร์บอนต่ำพบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง ใช้ในการผลิตลวดผูกเหล็กเสริม ตะแกรงเสริมคอนกรีต อุตสาหกรรมเกษตร ใช้ในการทำรั้วฟาร์ม กรงสัตว์ และอุปกรณ์เกษตรต่าง ๆ และบางเกรดของเหล็กลวดคาร์บอนต่ำก็สามารถนำมาใช้ในงานยานยนต์ หรืออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
เหล็ก Low Carbon คืออะไร
เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ หรือที่เรียกกันว่า Low Carbon Steel คือเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนในเนื้อโลหะไม่เกิน 0.25–0.30% ทำให้มีลักษณะเนื้อเหล็กค่อนข้างนุ่มและยืดหยุ่นสูง แตกต่างจากเหล็กที่มีคาร์บอนสูงซึ่งจะแข็งและเปราะมากกว่า ความพิเศษของเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำคือสามารถดัด โค้ง หรือรีดขึ้นรูปได้ง่าย จึงเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นและความเหนียวสูง เช่น การทำลวดเหล็ก ตัวถังรถยนต์ หรือชิ้นส่วนที่ต้องผ่านกระบวนการขึ้นรูปหลายขั้นตอน
ตัวอย่างเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำที่นิยมใช้ในระดับสากล เช่น เกรด ASTM A36 ในสหรัฐอเมริกา หรือ EN S235 ในยุโรป และ GB Q235 ในจีน เหล่านี้คือชนิดของเหล็กที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานแต่ละประเทศ และสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย ทั้งในอุตสาหกรรมก่อสร้าง งานก่อสร้างโครงสร้างเหล็ก ท่อประปา ไปจนถึงการทำชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องจักรต่าง ๆ
ในสหรัฐอเมริกา เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำมีสัดส่วนมากถึง 85% ของการผลิตเหล็กทั้งหมด โดยทั่วไปมักมีคาร์บอนน้อยกว่า 0.25% และแมงกานีสอยู่ที่ 0.25–0.60% ขึ้นอยู่กับเกรดการใช้งาน ซึ่งทำให้เหล็กประเภทนี้จัดได้ว่าเป็นวัสดุที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการนำไปผลิตแผงตัวถังรถยนต์ แผ่นเหล็กที่เคลือบดีบุก หรืองานผลิตลวดต่าง ๆ ส่วนเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนสูงขึ้นเล็กน้อยในกลุ่มนี้ เช่น 0.30% มักนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแข็งแรงมากขึ้น เช่น แผ่นเหล็กสำหรับหม้อไอน้ำ ท่อไร้รอยต่อ หรือโครงสร้างเหล็กที่รับน้ำหนักมาก
มอก. ของเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 348-2559 หรือมาตรฐานเหล็กลวดคาร์บอนต่ำสำหรับงานทั่วไป คือข้อกำหนดที่ใช้กับเหล็กลวดคาร์บอนต่ำรีดร้อน ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมาตรฐานนี้กำหนดรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ เช่น ประเภท ขนาด ส่วนประกอบทางเคมี คุณลักษณะทางกล เครื่องหมายและฉลาก รวมถึงวิธีการทดสอบและการตรวจสอบเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ
สิ่งที่สำคัญคือ มาตรฐานนี้ไม่ได้ใช้กับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กลวดที่ใช้ทำแกนลวดเชื่อม รวมถึงเหล็กเส้นและเหล็กลวดที่มีหน้าตัดกลมซึ่งถูกกำหนดมาตรฐานไว้แล้วในระบบอื่น อย่างไรก็ตาม มาตรฐาน มอก. 348-2559 จะครอบคลุมเหล็กเส้นที่มีหน้าตัดกลมซึ่งนำไปใช้ทำลวดเหล็กได้ รวมทั้งกำหนดเกี่ยวกับขนาด ความหนา ความกว้าง ความยาว และสมบัติต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน
ในส่วนของการติดฉลากนั้น ทุกขดของเหล็กลวดคาร์บอนต่ำต้องมีป้ายติดอย่างชัดเจน แสดงข้อมูลที่สำคัญ เช่น คำว่า “เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ” ชั้นคุณภาพ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง มวลน้ำหนัก หมายเลขการหลอม ชื่อหรือโรงงานผู้ผลิต และประเทศที่ผลิต โดยป้ายต้องไม่หลุดง่ายหรือฉีกขาด และถ้าใช้ภาษาต่างประเทศ ต้องแปลความหมายให้ตรงกับภาษาไทยที่กำหนดไว้
การเลือกใช้เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำมีข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตและก่อสร้าง เพราะวัสดุน้ำหนักเบาและง่ายต่อการขึ้นรูป นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว เนื่องจากการเคลือบผิวช่วยป้องกันการกัดกร่อน ทำให้โครงสร้างมีความมั่นคงและยั่งยืน เหล็กชนิดนี้ยังนำกลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งช่วยส่งเสริมความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย